วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

กลอนวันภาษาไทย วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556

กลอนวันภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาษาที่มีความไพเราะภาษาหนึ่งในโลกเป็นภาษาที่เกิดจากอัจฉริยภาพของบรรพบุรุษไทยที่ได้สั่งสมและถ่ายทอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปีนับตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นจวบจนปัจจุบัน แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทรงตระหนักถึงปัญหาในการใช้ภาษาไทย จนกลายเป็นต้นกำเนิดของ “วันภาษาไทยแห่งชาติ” เพื่อเป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้คนไทยภูมิใจในเอกลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นชาติไทย แสดงถึงความเป็นชนชาติที่มีภาษาเป็นของตนเอง ในขณะที่หลายประเทศในโลกนั้นไม่มีภาษาซึ่งแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ แต่ในปัจจุบันเราจะเห็นว่า ภาษาไทย ถูกนำมาใช้อย่างผิดๆ เกิดการสร้างคำแบบใหม่ มีการตัดคำและไม่มีกาลเทศะในการใช้คำ แม้ว่าธรรมชาติของภาษาจะบอกว่า “ภาษาที่มีชีวิตนั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลง” แต่ทว่าหากภาษาไทยเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ เกรงว่าเอกลักษณ์ของชาติคงจะเสียหายและสูญหายไปในที่สุด เพราะเหตุนี้เราจึงควรร่วมกันอนุรักษ์ภาษาไทย เพราะ “เราโชคดีที่มีภาษาไทย” ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น กลอนวันภาษาไทย หลักแท่นหิน แผ่นศิลา ที่จารึก ลงบันทึก ตรึกตรา ภาษาสยาม สดุดี ก้องเกียรติ พ่อขุนราม ทุกเขตคาม ต่างร่ำลือ ระบือไกล เป็นเพลา มานาน มิใช่น้อย ตั้งเจ็ดร้อย ยี่สิบห้า ตราสมัย ภาษายัง คู่จิต คู่ชาติไทย คู่สมัย คู่ใจ ไทยนิรันดร์ สิ้นภาษา ดั่งสิ้น เอกราช ดั่งสิ้นชาติ สิ้นชีพ สิ้นความฝัน ดั่งประทีป ดับวูบ ในเร็ววัน สิ้นแสงจันทร์ สิ้นดารา สิ้นราตรี ภาษาไทย ภาษาเดียว ภาษาชาติ ประวัติศาสตร์ จารึกไว้ เป็นสักขี เป็นสมบัติ อนุชน มานานปี มิอาจมี สิ่งใด มาทำลาย แต่บัดนี้ วัฒนธรรม ตะวันตก เข้ามาปก ความคิด ปิดจิตหมาย ทั้งภาษา การกินอยู่ การแต่งกาย เริ่มเสื่อมคลาย ความดีงาม ของผองไทย ถึงเวลา อนุชน คนรุ่นหลัง เริ่มปลูกฝัง จิตสำนึก ให้ตรึกไว้ มีกำพืด เกิดมา จากคนไทย ภาษาใด ไม่เทียมเท่า ที่ไทยมี ภาษาพูด ภาษาอ่าน ภาษาเขียน ตั้งแต่เศียร จรดบาท เป็นวีถี คำพูดจา อ่อนหวาน ที่เรามี ดั่งวารี ไหลฉ่ำ ล่ำจิตใจ ท่องกอไก่ ฮอนกฮูก ตั้งแต่เด็ก เปรียบรั้วเหล็ก ป้องภาษา ชาติเอาไว้ ร่วมร้อยเรียง ร่วมรู้รัก ร่วมรักไทย ใช่อะไร ภาษาไทย ของฉันเอง ภาษาไทยสวยงาม ภาษาไทยงดงามด้วยน้ำเสียง ถ้อยเรียบเรียงหวานหูไม่รู้หาย สื่อความคิดสื่อความรู้สื่อแทนกาย สื่อความหมายด้วยภาษาน่าชื่นชม เกิดเป็นไทยภาษาไทยเขียนให้คล่อง กฎเกณฑ์ต้องรู้ใช้ให้เหมาะสม จะพูดจาน่าฟังทั้งนิยม เจ้าคารมเขาจะหมิ่นจนสิ้นอาย ภาษาพูดสนทนาพูดจาทัก เป็นสื่อรักสื่อสัมพันธ์ความมั่นหมาย แม้นพูดดีมีคนรักมักสบาย แต่พูดร้ายส่อเสียดคนเกลียดกัน วัฒนธรรมล้ำค่าภาษาสวย ทุกคนช่วยออกเสียง “ร” ขอสร้างสรรค์ แม้นออกเสียง เป็น “ล” เขาล้อกัน คนจะหยันชาติเราไม่เข้าที สระ “เอือ" เป็น “เอีย” ฟังเพลียนัก บอกที่รัก ช่วยซื้อ “เกีย”..ที่ร้านนี่ ขอ “ซมเซย” จะเชยแท้ แม้พาที วอนน้องพี่ต้องช่วยกันจรรโลงไทย ผมได้เลิกแต่งงานในวันนี้ เป็นเลิกดีเลิกงามยามสดใส ออกเสียงฤกษ์ เป็นเลิก ครั้งคราใด คงทำให้สื่อสารผิด..คิดเสียดาย ภาษาไทยงดงามด้วยความคิด แม้นอ่านผิดก็เขียนผิด..คงเสียหาย เขียนอ่านไทยให้ถูกด้วยช่วยผ่อนคลาย สื่อทั้งหลาย..ต้องช่วยกัน..นั้นอีกแรง.. ครูพิม ประพันธ์ กลอนวันภาษาไทย ภาษาไทยของฉัน หลักแท่นหินแผ่ยศิลาที่จารึก ลงบันทึกตรึกตราภาษาสยาม สดุดีก้องเกียรติพ่อขุนราม ทุกเขตคามต่างร่ำลือระบือไกล เป็นเพลามานานมิใช่น้อย ตั้งเจ็ดร้อยยี่สิบห้าตราสมัย ภาษายังคู่จิตคู่ชาติไทย คู่สมัยคู่ใจไทยนิรันดร์ สิ้นภาษาดั่งสิ้นเอกราช ดั่งสิ้นชาติสิ้นชีพสิ้นความฝัน ดั่งประทีปดับวูบในเร็ววัน สิ้นแสงจันทร์สิ้นดาราสิ้นราตรี ภาษาไทยภาษาเดียวภาษาชาติ ประวัติศาสตร์จารึกไว้เป็นสักขี เป็นสมบัติอนุชนมานานปี มิอาจมีสิ่งใดมาทำลาย แต่บัดนี้วัฒนธรรมตะวันตก เข้ามาปกความคิดปิดจิตหมาย ทั้งภาษาการกินอยู่การแต่งกาย เริ่มเสื่อมคลายความดีงามของผองไทย ถึงเวลาอนุชนคนรุ่นหลัง เริ่มปลูกฝังจิตสำนึกให้ตรึกไว้ มีกำพืดเกิดมาจากคนไทย ภาษาใดไม่เทียมเท่าที่ไทยมี ภาษาพูดภาษาอ่านภาษาเขียน ตั้งแต่เศียรจรดบาทเป็นวีถี คำพูดจาอ่อนหวานที่เรามี ดั่งวารีไหลฉ่ำล่ำจิตใจ ท่องกอไก่ฮอนกฮูกตั้งแต่เด็ก เปรียบรั้วเหล็กป้องภาษาชาติเอาไว้ ร่วมร้อยเรียงร่วมรู้รักร่วมรักไทย ใช่อะไรภาษาไทยของฉันเอง ที่มา www.agalico.com/board/blog.php?b=172 กลอนวันภาษาไทย เห็นศิลาจารึกมินึกเศร้า แม้ใครเขาขัดข้องต้องถกเถียง เจาะภาษาจากใจไม่เอนเอียง คล้องจองเสียงเยี่ยงกังสดาลหวานจับใจ เอกลักษณ์ของชาติคือปรารถนา เติบโตมาตามกาลผ่านยุคสมัย จะยุคนี้ยุคโน้นหรือยุคใด ขอเพียงไทยมีภาษาข้า ฯ ขอบคุณ ขอเดชะฯ บารมีที่ล้ำเลิศ วันภาษาไทยก่อเกิด ธ เกื้อหนุน ยี่สิบเก้ากรกฎา ธ การุญ ภาษาไทยของพ่อขุนจึงเบ่งบาน ที่มา www.sobprab.ac.th/ กลอนวันภาษาไทย ครูกระดาษทราย ภาษาชาตินั้นคือภาษาไทย ศิวิไลซ์ในอักขระภาษาศิลป์ ก่อกำเนิดกลอนกานท์ทั่วแผ่นดิน ไทยไม่สิ้นกวีแท้อย่างแน่นอน เห็นกลอนกานท์วรรณกรรมที่ล้ำค่า งามสง่าร้อยลำนำเรียงอักษร เป็นบทกวีที่ไพเราะทุกคำกลอน และสะท้อนความเป็นไทยตลอดมา หนึ่งคุณครูกระดาษทรายก็หมายมุ่ง หวังผดุงวงศ์กวีเป็นนักหนา จึงพากเพียรเขียนแต่งตลอดมา เพียงหวังว่าเป็นต้นกล้าแห่งวงวรรณ ฯ อรุโณทัย ประพันธ์ กลอนวันภาษาไทย เอกลักษณ์..ภาษาไทย..จำให้มั่น จงช่วยกัน..รักษาไว้..ใช่นิ่งเฉย จรรโลงรักษ์..อักษรไทย..ไม่ละเลย จงคุ้นเคย..ทั้งสระ..-อะ-อา-อี.... ตัวสะกด..และสำเนียง..เสียงสูงต่ำ หมั่นท่องจำ..เอาไว้..ใช้ทุกที่ ลูกหลานไทย..ต้องรู้ค่า..หาวิธี ว่าเรามี.."ภาษาไทย"..ใช้มานาน.. กลอนวันภาษาไทย

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556

วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556 "รู้คุณค่า..ภาษาไทย" วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556 ประวัติ ความสำคัญของวันภาษาไทยแห่งชาติ กลอนวันภาษาไทย เรียงความวันภาษาไทย วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556 วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี ประเทศไทยได้กำหนดให้เป็น "วันภาษาไทยแห่งชาติ" วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556 ประวัติ ความสำคัญของวันภาษาไทยแห่งชาติ ธงชาติ และ ภาษา คือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นไทย วันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี คือ วันที่รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในด้านภาษาไทย และเพื่อกระตุ้น ให้ชาวไทยทั้งชาติได้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย และร่วมใจกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องเพื่ออนุรักษ์ภาษาไทยให้เป็นเอกลักษณ์อยู่คู่ชาติไทยต่อไป

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วัตถุประสงค์

วัตถุประสงค์ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 เห็นชอบให้วันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ [3] 1.เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์ และนักภาษาไทย รวมทั้งเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงแสดงความห่วงใย และพระราชทานแนวคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย 2.เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2542 3.เพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป 4.เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการใช้ภาษาไทย ทั้งในวงวิชาการและวิชาชีพ รวมทั้งเพื่อยกมาตรฐานการเรียนการสอนภาษาไทยในสถานศึกษาทุกระดับให้สัมฤทธิผลยิ่งขึ้น 5.เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเผยแพร่ความรู้ภาษาไทยในรูปแบบต่าง ๆ ไปสู่สาธารณชนทั้งในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ และในฐานะที่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารของทุกคนในชาติ

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ยัญชนะสะกด ถึงแม้ว่าพยัญชนะไทยมี 44 รูป 21 เสียงในกรณีของพยัญชนะต้น แต่ในกรณีพยัญชนะสะกดแตกต่างออกไป สำหรับเสียงสะกดมีเพียง 8 เสียง และรวมทั้งไม่มีเสียงด้วย เรียกว่า มาตรา เสียงพยัญชนะก้องเมื่ออยู่ในตำแหน่งตัวสะกด ความก้องจะหายไป ในบรรดาพยัญชนะไทย นอกจาก ฃ และ ฅ ที่เลิกใช้แล้ว ยังมีพยัญชนะอีก 6 ตัวที่ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้คือ ฉ ผ ฝ ห อ ฮ ดังนั้นมันจึงเหลือเพียง 36 ตัวตามตาราง อักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน ริมฝีปาก ทั้งสอง ริมฝีปากล่าง -ฟันบน ปุ่มเหงือก หลังปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง เสียงนาสิก [m] ม m [n] ญ,ณ,น,ร,ล,ฬ n [ŋ] ง ng เสียงกัก [p̚] บ,ป,พ,ฟ,ภ p [t̚] จ,ช,ซ,ฌ,ฎ,ฏ,ฐ,ฑ,ฒ, ด,ต,ถ,ท,ธ,ศ,ษ,ส t [k̚] ก,ข,ค,ฆ k [ʔ] * - เสียงเปิด [w] ว o(w) [j] ย i(y) * เสียงกัก เส้นเสียง จะปรากฏเฉพาะหลังสระเสียงสั้นเมื่อไม่มีพยัญชนะสะกด

หน่วยเสียง ภาษาไทยประกอบด้วยหน่วยเสียงสำคัญ 3 ประเภท[2] คือ หน่วยเสียงพยัญชนะ หน่วยเสียงสระ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ พยัญชนะ พยัญชนะต้น ภาษาไทยแบ่งแยกรูปแบบเสียงพยัญชนะก้องและพ่นลม ในส่วนของเสียงกักและเสียงผสมเสียดแทรก เป็นสามประเภทดังนี้ เสียงไม่ก้อง ไม่พ่นลม เสียงไม่ก้อง พ่นลม เสียงก้อง ไม่พ่นลม หากเทียบกับภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปมีเสียงแบบที่สองกับสามเท่านั้น เสียงแบบที่หนึ่งพบได้เฉพาะเมื่ออยู่หลัง s ซึ่งเป็นเสียงแปรของเสียงที่สอง เสียงพยัญชนะต้นโดยรวมแบ่งเป็น 21 เสียง ตารางด้านล่างนี้บรรทัดบนคือสัทอักษรสากล บรรทัดล่างคืออักษรไทยในตำแหน่งพยัญชนะต้น (อักษรหลายตัวที่ปรากฏในช่องให้เสียงเดียวกัน) อักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน ริมฝีปาก ทั้งสอง ริมฝีปากล่าง -ฟันบน ปุ่มเหงือก หลังปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง เสียงนาสิก [m] ม m [n] ณ,น n [ŋ] ง ng เสียงกัก [p] ป p [pʰ] ผ,พ,ภ ph [b] บ b [t] ฏ,ต t [tʰ] ฐ,ฑ,ฒ,ถ,ท,ธ th [d] ฎ,ด d [k] ก k [kʰ] ข,ฃ,ค,ฅ,ฆ* kh [ʔ] อ** - เสียงเสียดแทรก [f] ฝ,ฟ f [s] ซ,ศ,ษ,ส s [h] ห,ฮ h เสียงผสมเสียดแทรก [t͡ɕ] จ c(h) [t͡ɕʰ] ฉ,ช,ฌ ch เสียงรัว [r] ร r เสียงเปิด [w] ว w [j] ญ,ย y เสียงเปิดข้างลิ้น [l] ล,ฬ l * ฃ และ ฅ เลิกใช้แล้ว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าภาษาไทยสมัยใหม่มีพยัญชนะเพียง 42 ตัวอักษร ** อ ที่เป็นพยัญชนะต้นหมายถึงเสียงเงียบ และดังนั้นมันจึงถูกพิจารณาว่าเป็นเสียงกัก เส้นเสียง พยัญชนะสะกด[แก้] ถึงแม้ว่าพยัญชนะไทยมี 44 รูป 21 เสียงในกรณีของพยัญชนะต้น แต่ในกรณีพยัญชนะสะกดแตกต่างออกไป สำหรับเสียงสะกดมีเพียง 8 เสียง และรวมทั้งไม่มีเสียงด้วย เรียกว่า มาตรา เสียงพยัญชนะก้องเมื่ออยู่ในตำแหน่งตัวสะกด ความก้องจะหายไป ในบรรดาพยัญชนะไทย นอกจาก ฃ และ ฅ ที่เลิกใช้แล้ว ยังมีพยัญชนะอีก 6 ตัวที่ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้คือ ฉ ผ ฝ ห อ ฮ ดังนั้นมันจึงเหลือเพียง 36 ตัวตามตาราง อักษรโรมันที่กำกับเป็นระบบถอดอักษรของราชบัณฑิตยสถาน ริมฝีปาก ทั้งสอง ริมฝีปากล่าง -ฟันบน ปุ่มเหงือก หลังปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง เสียงนาสิก [m] ม m [n] ญ,ณ,น,ร,ล,ฬ n [ŋ] ง ng เสียงกัก [p̚] บ,ป,พ,ฟ,ภ p [t̚] จ,ช,ซ,ฌ,ฎ,ฏ,ฐ,ฑ,ฒ, ด,ต,ถ,ท,ธ,ศ,ษ,ส t [k̚] ก,ข,ค,ฆ k [ʔ] * - เสียงเปิด [w] ว o(w) [j] ย i(y) * เสียงกัก เส้นเสียง จะปรากฏเฉพาะหลังสระเสียงสั้นเมื่อไม่มีพยัญชนะสะกด

ภาษาไทยสมัยจอมพล ป.

ภาษาไทยสมัยจอมพล ป. ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการปฏิรูปภาษาไทยโดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2485 มีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย การเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ที่สังเกตได้มีดังนี้ ตัดพยัญชนะ ฃ ฅ ฆ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ศ ษ ฬ แล้วใช้ ข ค ค ด ต ถ ท ธ น ส ส ล แทนตามลำดับ พยัญชนะ ญ ถูกตัดเชิงออกกลายเป็น ญ พยัญชนะสะกดของคำที่ไม่ได้มีรากมาจากคำบาลี-สันสกฤต เปลี่ยนเป็นพยัญชนะสะกดตามแม่โดยตรง เช่น อาจ เปลี่ยนเป็น อาด, สมควร เปลี่ยนเป็น สมควน เปลี่ยน อย เป็น หย เช่น อยาก ก็เปลี่ยนเป็น หยาก เลิกใช้คำควบไม่แท้ เช่น จริง ก็เขียนเป็น จิง, ทรง ก็เขียนเป็น ซง ร หัน ที่มิได้ออกเสียง /อัน/ ส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นสระอะตามด้วยตัวสะกด เช่น อุปสรรค เปลี่ยนเป็น อุปสัค, ธรรม เปลี่ยนเป็น ธัม เลิกใช้สระใอไม้ม้วน เปลี่ยนเป็นสระไอไม้มลายทั้งหมด เลิกใช้ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เปลี่ยนไปใช้การสะกดตามเสียง เช่น พฤกษ์ ก็เปลี่ยนเป็น พรึกส์, ทฤษฎี ก็เปลี่ยนเป็น ทริสดี ใช้เครื่องหมายวรรคตอนอย่างภาษาต่างประเทศ เช่นมหัพภาคเมื่อจบประโยค จุลภาคเมื่อจบประโยคย่อยหรือวลี อัฒภาคเชื่อมประโยค และจะไม่เว้นวรรคถ้ายังไม่จบประโยคโดยไม่จำเป็น หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลุดจากอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ รัฐนิยมก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย อักขรวิธีภาษาไทยได้กลับไปใช้แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง [1] หน่วยเสียง

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชื่อภาษาและที่มา

ชื่อภาษาและที่มา คำว่า ไทย หมายความว่า อิสรภาพ เสรีภาพ หรืออีกความหมายหนึ่งคือ ใหญ่ ยิ่งใหญ่ เพราะการจะเป็นอิสระได้จะต้องมีกำลังที่มากกว่า แข็งแกร่งกว่า เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก แม้คำนี้จะมีรูปเหมือนคำยืมจากภาษาบาลีสันสกฤต แต่แท้ที่จริงแล้ว คำนี้เป็นคำไทยแท้ที่เกิดจากกระบวนการสร้างคำที่เรียกว่า 'การลากคำเข้าวัด' ซึ่งเป็นการลากความวิธีหนึ่ง ตามหลักคติชนวิทยา คนไทยเป็นชนชาติที่นับถือกันว่า ภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษาที่บันทึกพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคล เมื่อคนไทยต้องการตั้งชื่อประเทศว่า ไท ซึ่งเป็นคำไทยแท้ จึงเติมตัว ย เข้าไปข้างท้าย เพื่อให้มีลักษณะคล้ายคำในภาษาบาลีสันสกฤตเพื่อความเป็นมงคลตามความเชื่อของตน ภาษาไทยจึงหมายถึงภาษาของชนชาติไทยผู้เป็นไทนั่นเอง

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประวัติวันภาษาไทย





เรียบเรียงข้อมูลโดยนรมล ศรีจันดา

          รู้กันหรือไม่ว่าภาษาไทยที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ ก็มีวันที่ระลึกถึงภาษาไทยของเราด้วยเหมือนกัน โดยในวันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี ประเทศไทยได้กำหนดให้เป็น "วันภาษาไทยแห่งชาติ"

ความเป็นมาของวันภาษาไทยแห่งชาติ

          สืบเนื่องจากคณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย และมีความห่วงใยในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อภาษาไทย รวมถึงเพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้คนไทยทั้งชาติได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือกันทำนุบำรุง ส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป จึงได้เสนอขอให้รัฐบาลประกาศให้วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี เป็น วันภาษาไทยแห่งชาติ เช่นเดียวกับวันสำคัญอื่นๆ ที่รัฐบาลได้จัดให้มีมาก่อนแล้ว เช่น วันวิทยาศาสตร์,วันสื่อสารแห่งชาติ เป็นต้น และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 เห็นชอบให้วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ 

เหตุผลที่เลือกวันที่ 29 กรกฎาคม เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ

          สำหรับเหตุผลที่เลือกวันที่ 29 กรกฎาคม เป็น วันภาษาไทยแห่งชาติ นั้นเพราะวันดังกล่าว ตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธาน และทรงร่วมอภิปรายในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมคณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ทรงเปิดอภิปรายในหัวข้อ "ปัญหาการใช้คำไทย" โดยพระองค์ทรงดำเนินการอภิปรายและทรงสรุปการอภิปราย ที่แสดงถึงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยรวมถึงความห่วงใยในภาษาไทย ซึ่งเป็นที่ประทับใจกับผู้ร่วมเข้าประชุมในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง

          สำหรับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในครั้งนั้น มีใจความตอนหนึ่งว่า "เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษาก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่าวิธีใช้คำมาประกอบประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สามคือความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้... สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆ ก็ควรจะมี ควรจะใช้คำเก่าๆ ที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก..."

          นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของวงการภาษาไทย ที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ซึ่งในโอกาสต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงแสดงความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทยอีกหลายโอกาส อย่างในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ที่ได้ทรงมีพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า "ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่า ได้มีการใช้คำออกจะฟุ่มเฟือย และไม่ตรงกับความหมายอันแท้จริงอยู่เนืองๆ ทั้งออกเสียงก็ไม่ถูกต้องตามอักขรวิธี ถ้าปล่อยให้เป็นไปดังนี้ ภาษาของเราก็มีแต่จะทรุดโทรม ชาติไทยเรามีภาษาของเราใช้เองเป็นสิ่งอันประเสริฐอยู่แล้ว เป็นมรดกอันมีค่าตกทอดมาถึงเราทุกคนจึงมีหน้าที่จะต้องรักษาไว้ ฉะนั้นจึงขอให้บรรดานิสิตและบัณฑิต ตลอดจนครูบาอาจารย์ได้ช่วยกันรักษาและส่งเสริมภาษาไทย ซึ่งเป็นอุปกรณ์และหลักประกันเพื่อความเจริญวัฒนาของประเทศชาติ"

          นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังมีพระปรีชาญาณและพระอัจฉริยะภาพในการใช้ภาษาไทย ทรงรอบรู้ปราดเปรื่องถึงรากศัพท์ของคำไทย คือ ภาษาบาลีและสันสกฤต ทรงพระอุตสาหะวิริยะแปลและเรียบเรียงวรรณกรรมภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะวรรณศิลป์ มีเนื้อหาสาระที่มีคุณค่า เป็นคติในการเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการใช้ภาษาไทย ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระราชนิพนธ์แปลบทความเรื่องสั้นๆ หลายบท และพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก เป็นต้น

วัตถุประสงค์ในการจัดวันภาษาไทยแห่งชาติ มีดังต่อไปนี้

           1. เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์และนักภาษาไทย รวมทั้งเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงแสดงความห่วงใย และพระราชทานแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย

           2. เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542

           3. เพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติ ให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

           4. เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการใช้ภาษาไทย ทั้งในวงวิชาการและวิชาชีพ รวมทั้งเพื่อยกมาตรฐานการเรียนการสอนภาษาไทยในสถานศึกษาทุกระดับ ให้มีสัมฤทธิผลยิ่งขึ้น

           5. เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐฯ และเอกชนทั่วประเทศ มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเผยแพร่ความรู้ภาษาไทยในรูปแบบต่างๆ ไปสู่สาธารณชน ทั้งในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ และในฐานะที่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารของทุกคนในชาติ

ประโยชน์ที่คาดว่าได้รับจากการมีวันภาษาไทยแห่งชาติ

           1. วันภาษาไทยแห่งชาติ จะทำให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐฯ และเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัย ตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย และร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเตือน เผยแพร่ และเน้นย้ำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของ "ภาษาประจำชาติ" ของคนไทยทุกคน และร่วมมือกันอนุรักษ์การใช้ภาษาไทยให้มีความถูกต้องงดงามอยู่เสมอ

           2. บุคคลในวงวิชาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาไทย โดยเฉพาะในวงการศึกษา และวงการสื่อสาร ช่วยกันกวดขันดูแลให้การใช้ภาษาไทยเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม มิให้ผันแปรเปลี่ยนแปลง จนเกิดความเสียหายแก่คุณลักษณะของภาษาไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ

           3. ผลสืบเนื่องในระยะยาว คาดว่าปวงชนชาวไทยทั่วประเทศจะตื่นตัวและสนใจที่จะร่วมกันฟื้นฟู ทำนุบำรุง ส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย อันเป็นเอกลักษณ์และสมบัติวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติให้ดำรงคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

กิจกรรมในวันภาษาไทยแห่งชาติ
          กิจกรรมในวันนี้ ก็จะมีทั้งของสถาบันการศึกษา,หน่วยงานภาครัฐฯ และเอกชน ที่จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดนิทรรศการ,การอภิปรายทางวิชาการ,การประกวดแต่งคำประพันธ์ ร้อยแก้ว ร้อยกรอง การขับเสภา การเล่านิทาน เป็นต้น

          ภาษาไทยถือเป็นภาษาแห่งชาติ และเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่เราคนไทยควรภาคภูมิใจ เพราะบางประเทศไม่มีแม้กระทั่งภาษาที่เป็นของตัวเอง ดังนั้นเราควรอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่ และสืบทอดต่อไปให้ลูกหลานได้ศึกษา หากเราคนไทยไม่ช่วยกันรักษาไว้ สักวันหนึ่งอาจจะไม่มีภาษาไทยให้ลูกหลานใช้ก็เป็นได้